The Color of Money
รีวิวหนัง The Color of Money
“The Color of Money” เป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 1986 กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี ถือเป็นภาคต่อของ “The Hustler” (1961) ที่เล่าเรื่องของนักเล่นพูลผู้มีความสามารถ โดยนำเสนอการเดินทางของตัวละครที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและการเล่นพูลอีกครั้ง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างมากในวงการภาพยนตร์
นักแสดง
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงนำหลายคนที่มีชื่อเสียง ได้แก่:
- Paul Newman รับบทเป็น “Fast” Eddie Felson
- Tom Cruise รับบทเป็น Vincent Lauria
- Mary Elizabeth Mastrantonio รับบทเป็น Carmen
- John Turturro รับบทเป็น “The Kid”
คะแนน IMDB และ Rotten Tomatoes
“The Color of Money” มีคะแนน IMDB อยู่ที่ 7.0/10 และคะแนน Rotten Tomatoes อยู่ที่ 88% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของภาพยนตร์ในด้านการสร้างสรรค์และการเล่าเรื่อง
สรุปเนื้อเรื่อง
เรื่องราวเริ่มต้นจาก “Fast” Eddie Felson (Paul Newman) ซึ่งเป็นนักเล่นพูลที่มีชื่อเสียง แต่หลังจากที่เขาได้เลิกเล่นไปหลายปี เขากลับมาพบกับ Vincent Lauria (Tom Cruise) นักเล่นพูลหนุ่มที่มีพรสวรรค์และมีความทะเยอทะยาน Eddie เห็นโอกาสที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงของตัวเอง โดยเขาตัดสินใจที่จะฝึก Vincent ให้เป็นนักเล่นพูลที่เก่งที่สุด
แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง Eddie และ Vincent ไม่ใช่แค่ครูและศิษย์เท่านั้น มันยังเต็มไปด้วยความตึงเครียดและการทดสอบความเชื่อมั่นในตัวเอง ในระหว่างการเดินทางนี้ Eddie ต้องเผชิญกับความทะเยอทะยานของ Vincent ที่เริ่มมีชื่อเสียงและอาจกลายเป็นคู่แข่งของเขา
นอกจากนี้ Carmen (Mary Elizabeth Mastrantonio) ยังเป็นตัวละครสำคัญที่เข้ามาเสริมสร้างความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่าง Eddie และ Vincent โดยเธอมีบทบาทในการผลักดัน Vincent ให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ก็ทำให้ Eddie รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น
“The Color of Money” แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในโลกของการเล่นพูล ความทะเยอทะยาน และการค้นหาตัวตนของตัวละคร ผ่านการเล่าเรื่องที่เข้มข้นและการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดง
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาและการแข่งขัน “The Color of Money” ยังมีความเกี่ยวข้องกับการเล่นพูลที่เปรียบเสมือนการแข่งขันในกีฬาอื่น ๆ เช่น บอลยูโร ซึ่งทุกคนต้องมีความมุ่งมั่นและทักษะในการเอาชนะคู่แข่ง
สรุปแล้ว “The Color of Money” ไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์ที่มีการเล่าเรื่องดี ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์และการเติบโตของตัวละครที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง